ลักษณะของความเป็นมนุษย์ คือ มีอารมณ์และความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง มีความสามารถในการคิดได้หลากหลาย สลับซับซ้อนและคิดได้หลายแง่หลายมุม คนเราคิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา แม้แต่เวลาหลับก็ยังคิด(แสดงออกมาในรูปของความฝัน) ความคิดกับอารมณ์เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างมาก ซึ่งหากเราคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี ก็จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข มีความหวังใจและมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ตรงกันข้าม หากเราคิดในแง่ลบ มองโลกในแง่ร้าย ก็จะทำให้เครียด มีความทุกข์และเกิดความล้มเหลวในชีวิตได้ง่าย ดังนั้น การมีความคิดเชิงบวกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะมีอยู่กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งความคิดเชิงบวกนี้สามารถเริ่มและพัฒนาได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจในการปลูกฝังให้ลูกรักของเราเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกได้ด้วยวิธีการดังนี้
1. L = Listen (รับฟัง) เด็กๆทุกคนต้องการให้คุณพ่อคุณแม่รับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของเขาอย่างจริงจัง เวลาที่ลูกพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หรือเวลาที่ลูกเล่าเรื่องใด ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของลูกเองหรือเรื่องกิจกรรมที่ลูกทำร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรรับฟังด้วยความใส่ใจและมีการตอบรับ ซักถามกับสิ่งที่ลูกเล่าโดยที่ไม่แสดงความรำคาญหรือเบื่อหน่าย ท่าทีเช่นนี้ของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยเสริมสร้างให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง กล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็นและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งจะพัฒนาให้ลูกเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น โดยเขาจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี มีความเข้าใจและเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นที่รักของคนทั่วไป นอกจากนี้ผลดีอีกอย่างก็คือลูกจะไม่เป็นคนที่มีความลับกับพ่อแม่ด้วย
2. O = Opportunity (โอกาส) เด็กช่วงวัยอนุบาลถึงวัยรุ่นมีความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติและพร้อมที่จะทดลองเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสและเรียนรู้ในกิจกรรมหลากหลายอย่างมีความสุขเพื่อให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ เช่น การเรียนศิลปะ ดนตรี กีฬา คุณพ่อคุณแม่อย่าบังคับให้ลูกต้องทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบและไม่ถนัด แต่ควรให้ลูกมีอิสระในการเลือกทำกิจกรรมที่เขาพึงพอใจด้วยตนเอง เพราะเมื่อเขาได้ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบและถนัดแล้ว เขาจะทำสิ่งนั้นได้ดี ซึ่งอาจพัฒนาจนเกิดความเชี่ยวชาญเลยก็เป็นได้ ดังนั้นการให้โอกาสจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการพัฒนาความคิดเชิงบวกของลูกในแง่ของการสร้างความภาคภูมิใจในตนเองและในการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้โอกาสแก่ผู้อื่นต่อไปด้วย
3. V = Vision (วิสัยทัศน์) หมายถึง การมองหรือการสร้างภาพในการเดินไปสู่อนาคต คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนลูก ไม่ว่าลูกมีความฝันหรือความตั้งใจอยากจะเป็นหรืออยากจะทำอะไร ตอนที่ผู้เขียนเป็นเด็ก เคยมีความฝันที่อยากจะเป็นจิตรกรเพราะชอบวาดรูป คุณพ่อคุณแม่ก็ให้การสนับสนุนโดยพาไปเรียนศิลปะ และหากมีโอกาสในวันหยุดก็พาไปดูงานแสดงภาพเขียน นอกจากนี้คุณครูที่โรงเรียนก็ให้การสนับสนุนด้วยโดยการส่งภาพวาดของผู้เขียนเข้าประกวดอยู่เสมอ แม้จะได้รางวัลบ้างไม่ได้รางวัลบ้าง แต่ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองในทุกครั้งที่นึกถึง (ถึงแม้ว่าเมื่อโตมาผู้เขียนจะไม่ได้เป็นจิตรกรก็ตาม)
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสนับสนุนและช่วยสานความฝันของลูก อย่ามองเป็นเรื่องตลกหรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะหากลูกได้รับกำลังใจและการเสริมแรงที่เหมาะสมแล้ว สักวันเขาจะไขว่คว้าสิ่งนั้นเอาไว้ได้และจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ดังนั้นวิธีการนี้จึงเป็นการช่วยพัฒนาความคิดเชิงบวกของลูกในการมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้ด้วยตนเองและฝึกให้เขาเป็นคนที่จะมีความรู้สึกชื่นชมกับความคิดและความฝันของผู้อื่นเช่นกัน
4. E = Emotional Quotient (ความฉลาดทางอารมณ์) คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกได้เข้าสังคมคบหาเพื่อนทั้งในวัยเดียวกันหรือต่างวัย ทั้งเพื่อนเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ซึ่งถือเป็นการฝึกให้ลูกได้รู้จักการสร้างความสัมพันธ์และการปรับตัวในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ได้เรียนรู้ในการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ ผลัดกันเป็นผู้นำผู้ตาม เห็นอกเห็นใจ ให้อภัย ยอมรับความผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น ซึ่งการเป็นคนที่มีความฉลาดทางด้านอารมณ์นี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่มีความคิดเชิงบวกเพราะช่วยให้ลูกเป็นคนมีความคิดและจิตใจที่ดีงาม
5. L–O–V–E (ความรัก) คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความรักกับลูกในทุกทาง ทั้งคำพูดและการกระทำ เช่น โอบกอด รวมถึงการแสดงความเมตตากับลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น มั่นคงและปลอดภัยความรักเหมือนยาวิเศษที่สามารถเปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีได้ เปลี่ยนเด็กดื้อให้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เปลี่ยนเด็กเกเรให้กลายเป็นเด็กอ่อนโยน เปลี่ยนเด็กอ่อนแอให้กลายเป็นเด็กเข้มแข็ง การแสดงให้ลูกรู้ว่าตนเองมีค่าและเป็นที่ยอมรับของคุณพ่อคุณแม่เป็นวิธีการสร้างความคิดเชิงบวกให้กับลูกได้ดีที่สุด ซึ่งนอกจากจะทำให้เขาจะเป็นคนที่เต็มอิ่มด้วยความรักแล้ว เขาจะเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่มอบความรักให้แก่ผู้อื่นด้วยใจจริงเช่นกัน
การที่ลูกมีความคิดในเชิงบวก ทำให้เขามีมุมมองที่ดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น การที่คุณพ่อคุณแม่รับฟัง (L) ให้โอกาส (O) สนับสนุนความคิดฝัน (V) ฝึกให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ (E) และมอบความรัก (L–O–V–E) ให้กับลูก ถือเป็นบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้ลูกของเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความคิดที่ดีงาม ซึ่งเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ไม่ว่าในวันนี้หรือในวันข้างหน้าที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาจะเป็นคนหนึ่งที่มีพลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อสังคมได้ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น